วัคซีนมะเร็งปากมดลูก

7584

มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นหนึ่งในเพศหญิง โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการติดเชื้อฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส (HPV) บริเวณปากมดลูก ซึ่งปัจจุบันมีการนำวัคซีนมาใช้สำหรับการป้องกันการติดเชื้อที่ได้ผลแล้ว

ชนิดของวัคซีนมะเร็งปากมดลูก
วัคซีนมะเร็งปากมดลูกที่มีใช้ที่มีใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ ชนิดแรก มักเรียกว่า วัคซีน 4 สายพันธุ์ เป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันการติดเชื้อฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส (HPV) สายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 วัคซีนชนิดนี้ สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ 70% และโรคหูดที่อวัยวะสืบพันธุ์ 90%

วัคซีน 4 สายพันธุ์ เป็นวัคซีนได้รับการรับรองให้ฉีดได้ในผู้ชายเพื่อป้องกันโรคหูดเหมือนกับในผู้หญิง นอกจากนี้ ยังสามารถป้องกันมะเร็งทวารหนักได้ 80% อีกด้วย

ส่วนวัคซีนชนิดที่ 2 เรียกว่า วัคซีน 2 สายพันธุ์ เป็นวัคซีนที่ใช้สำหรับป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18

มะเร็งปากมดลูก

1. วัคซีน 4 สายพันธุ์ หรือ Quadrivalent
วัคซีนชนิดนี้ ประกอบด้วยเชื้อสายพันธุ์ชนิด 6,11,16,18 ที่สามารถลดโอกาสในการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ 70% โดยองค์การอาหาร และยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) ได้ให้การรับรองว่าวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกนี้ มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากเชื้อเอชพีวี สายพันธุ์ 6,11,16,18 ได้ 100% ถ้าหากได้รับวัคซีนก่อนที่จะมีการติดเชื้อ

นอกจากนี้ วัคซีนยังสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีชนิดที่ไม่มีผลต่อการเกิดมะเร็ง แต่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศได้ 90% ด้วยประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันโรคมะเร็งบริเวณอวัยวะเพศ และโรคหูดอวัยวะเพศที่สูง ทำให้วัคซีนชนิดนี้ ได้รับการยอมรับ และอนุมัติให้ใช้ในประเทศไทย และหลายประเทศทั่วโลกแล้ว

นอกจากนี้ ประเทศอื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย และบางรัฐในสหรัฐอเมริกา ยังประกาศบังคับให้ฉีดในเด็กชาย และหญิงในช่วง อายุ 9-26 ปี ทั้งนี้ ได้มีการศึกษา และวิจัยให้ใช้ได้ครอบคลุมกับกลุ่มผู้ชาย และหญิงในช่วงอายุ 27-45 ปี อย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ หากได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ก็ยังควรเข้ารับการตรวจเป็บสเมียร์ (PAP SMEAR) อย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน

2. วัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ หรือ Bivalent
วัคซีนชนิดนี้ ประกอบด้วยเชื้อสายพันธุ์ชนิด 16,18 ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ 80% นอกจากนี้ Bivalent ยังป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี สายพันธ์ 31 และ 45 ซึ่งเป็นชนิดที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก รองจาก HPV สายพันธ์ 16 และ 18 ซึ่งคิดเป็น 10% ของต้นเหตุการณ์เกิดมะเร็งปากมดลูก

คุณสมบัติ และข้อบ่งใช้
ชนิด 4 สายพันธุ์
• ส่วนประกอบของวัคซีน
– HPV type 6 L1 protein 20 ไมโครกรัม
– HPV type11 L1 protein 40 ไมโครกรัม
– HPV type 16 L1 protein 40 ไมโครกรัม
– HPV type 18 L1 protein 20 ไมโครกรัม

• ข้อบ่งใช้
– สำหรับชาย-หญิง อายุ 9-17 ปี และผู้หญิงอายุ 18-26 ปี
– ใช้ป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6,11, 16 และ 18

• จำนวนครั้ง และความถี่
– ฉีด 3 ครั้ง ในเดือนที่1 เดือนที่ 3 และเดือนที่ 6

• อายุภูมิคุ้มกัน
– 6.4 ปี

ชนิด 2 สายพันธุ์
• ส่วนประกอบของวัคซีน
– HPV type 16 L1 protein 20 ไมโครกรัม
– HPV type 18 L1 protein 20 ไมโครกรัม

• ข้อบ่งใช้
– สำหรับหญิง อายุ 10-25 ปี
– ใช้ป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18

• จำนวนครั้ง และความถี่
– ฉีด 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อพร้อม ครั้งที่ 2 หลังจากฉีดครั้งแรก 1 เดือน และครั้งที่ 3 หลังจากฉีดครั้งแรก 6 เดือน

• อายุภูมิคุ้มกัน
– 5 ปี

ค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายสำหรับการฉีดในระยะแรก มีค่าใช้จ่ายต่อการฉีดจำนวน 3 เข็ม ประมาณ 14,000 – 16,000 บาท แต่ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ราคาก็ลดลงเหลือประมาณ 6,500 – 7,800 บาท แต่ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละแห่ง

ข้อดีวัคซีนมะเร็งปากมดลูก
1. มีความปลอดภัยสูง และไม่มีผลข้างเคียง
2. สามารถกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HPV ได้ดีกว่าการได้รับเชื้อ HPV ตามธรรมชาติกว่า 50-100 เท่า
3. มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV แบบชั่วคราวได้ 90-93% และแบบถาวรถึง 100%
4. ช่วยในการป้องกันความผิดปกติของเซลล์บริเวณปากมดลูกได้กว่า 93%
5. ช่วยในการป้องกันโรคหูดบริเวณอวัยวะเพศได้กว่า 100%