วัคซีนอีสุกอีใส และวัคซีนงูสวัด

7587

โรคอีสุกอีใส และโรคงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเเดียวกัน คือ ไวรัส varicella zoster โดยหากเกิดการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ในครั้งแรกจะทำให้เป็นโรคอีสุกอีใส หลังจากโรคหาย เชื้อไวรัสนี้จะยังคงอยู่ในร่างกายต่อไปจนเมื่อถึงระยะเวลาหลังการถูกกระตุ้นให้เกิดโรค เชื้อนี้จะกำเริบอีกครั้งเกิดเป็นโรคงูสวัด

โรคอีสุกอีใสจะทำให้ีอาการเป็นไข้ ปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามลำตัว และจะเกิดตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นทั่วร่างกาย ส่วนโรคงูสวัดอาจพบอาการเป็นไข้หรือไม่พบ แต่จะเกิดตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นในเฉพาะบางที่เท่านั้น เช่น รอบเอว ทั้งนี้ เชื้อไวรัส varicella zoster ในบางรายอาจทำให้เกิดผลอย่างรุนแรงจนเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็ก และผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งมักจะเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนอื่น เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย และเกิดอาการสมองอักเสบ

ปัจจุบัน มีวิธีการป้องกันโรคอีสุกอีใส และโรคงูสวัดด้วยการฉีดวัคซีนทั้งในวัยเด็ก และวัยผู้ใหญ่ ซึ่งจะช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคทั้งสองได้

วัคซีนอีสุกอีใส

วัคซีนอีสุกอีใส และวัคซีนงูสวัด ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1974 โดย Takahashi และคณะ และได้รับการจดทะเบียนเป็นวัคซีนในประเทศญี่ปุ่น และเกาหลี ในปี ค.ศ. 1985 ต่อมาประเทศสหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในยุโรปก็ได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนดังกล่าวเพื่อใช้ภายในประเทศเช่นกัน โดยบรรจุวัคซีนนี้ในตารางการให้วัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่เด็กอายุ 11-12 และในผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนชนิดนี้

วัคซีนอีสุกอีใส และงูสวัด เป็นวัคซีนที่เตรียมได้จากเชื้อไวรัส varicella zoster สายพันธุ์ Oka ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งจะทำให้เชื้อไำวรัสอ่อนกำลังลง แล้วทำการขยายพันธุ์ด้วยการเลี้ยงเชื้อใน MRC 5 human diploid cell

ประเภททางการบำบัด
1. Immunobiotogic agents
2. Toxoids และ vaccines

ขนาด และวิธีใช้
1. ใช้ในเด็กตั้งแต่อายุ 12 เดือน – 12 ปี โดยให้เข็มเดียวทางใต้ผิวหนัง ในขนาด 0.5 มิลลิลิตร
2. ในวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 13-17 ปี โดยฉีดให้ 2 เข็ม ทางใต้ผิวหนัง เข็มแรกฉีดขนาด 0.5 มิลลิลิตร ส่วนเข็มที่ 2 ฉีดในขนาดเดียวกัน แต่ให้ห่างจากการฉีดเข็มแรก 4-8 สัปดาห์
3. ในผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน โดยจะขีดจำนวน 2 เข็ม เหมือนกับวัยรุ่นในข้อ 2 และฉีดในขนาด และในระยะเวลาเดียวกัน

การฉีดวัคซีนอีสุกอีใส และงูสวัด จะต้องฉีดเข้าใต้ผิวหนังเท่านั้น ห้ามฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือ เข้าทางกล้ามเนื้อเป็นเด็ดขาด

การเตรียมวัคซีน
วัคซีนชนิดผงแห้ง ขนาด 1 โดส ที่มีจำนวนเชื้อไวรัส varicella zoster 2,000 PFU ต้องนำมาละลายกับตัวทำละลายขนาด 0.7 มล. แล้วเขย่าเบาๆให้ผงวัคซีนละลายจนหมด

หลังจากละลายวัคซีนจนหมดแล้ว ให้นำวัคซีนฉีดเข้าใต้ผิวหนังทันที ไม่ควรทิ้งวัคซีนไว้นานเกิน 30 นาที เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง

ผงวัคซีนที่ละลายทั่วแล้วจะมีจะใส ไม่มีสีหรือออกสีเหลืองอ่อน ทั้งนี้ ก่อนฉีดวัคซีนจำเป็นต้องตรวจการปนเปื้อนหรือไม่ และต้องตรวจลักษณะทางกายภาพของวัคซีนว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากการละลายหรือไม่ หากมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการปนเปื้อนให้เตรียมสารละลายวัคซีนใหม่

การออกฤทธิ์ของวัคซีน
วัคซีนอีสุกอีใส และงูสวัดที่ประกอบด้วยเชื้อไวรัส varicella zoster ที่อ่อนแรงจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะที่มีต่อเชื้อไวรัส varicella zoster ซึ่งภูมิคุ้มกันที่มีต่อไวรัสชนิดนี้จะเกิดขึ้นหลังการได้รับวัคซีนแล้วประมาณ 2 สัปดาห์

การฉีดวัคซีนในเข็มแรก และเข็มเดียวจะมีจำนวนไวรัส varicella zoster ประมาณ 1,350 PFU เมื่อร่างกายได้รับวัคซีนแล้ว ร่างกายจะสร้า้งภูมิคุ้มกันต่อไวรัสชนิดนี้ขึ้นมา ซึ่งหลังการฉีดจะพบว่า ร่างกายมีค่า seroconversion rate มากกว่าร้อยละ 95 ซึ่งภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นนี้จะคงอยู่นานหลายปี แต่หากเมื่อได้รับเชื้อก็อาจฉีดวัคซีนกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเพิ่มได้ ส่วนการฉีดเข็มที่ 2 หลังการได้รับการฉีดเข็มแรกประมาณ 8 สัปดาห์ จะพบว่า ร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 99 ทั้งนี้ ช่วงห่างของการฉีดเข็มแรก และเข็มที่ 2 จะมีผลต่อประสิทธิภาพการต้านทานโรค และความรุนแรงของโรคอีสุกอีใส และงูสวัด เนื่องจาก การฉีดในระยะที่เหมาะหลังจากเข็มแรกจะช่วยให้ร่างกายสามารถสรา้งภูมิคุ้มกันได้สูงสุดก่อนที่จะได้รับการฉีดในเข็มที่ 2

ข้อบ่งใช้
1. ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง
– ใช้วัคซีนสำหรับป้องกันโรคอีสุกอีใส และโรคงูสวัดในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป ในวัยเด็ก และในวัยผู้ใหญ่ที่ต้องการรับวัคซีนหรือผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน

2. สำหรับผู้มีความเสี่ยงในกลุ่มต่างๆ
ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน
ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน หากเกิดการติดเชื้อ และเป็นโรคอีสุกอีใสจะทำอาการของโรครุนแรงขึ้น เนื่องจาก เกิดภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง ดังนั้น ผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคโรค ควรพิจารณาต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสตั้งแต่เนิ่นๆ และขณะเข้ารับการฉีดวัคซีน ผู้ป่วยจะต้องงดการรักษาทางเคมีบำบัดก่อน และต้องงดตลอดระยะเวลาหลังได้รับวัคซีนแล้วอย่างต่ำ 1 สัปดาห์

ผู้ป่วยที่ได้รับยาหรือรับการรักษาที่เกิดการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกัน
ผู้ป่วยหลายโรคที่ได้รับยาหรือเข้ารับการรักษา บางยาหรือกิจกรรมการรักษาจะมีผลต่อการกดภูมิคุ้มกัน ซึ่งหากช่วงระยะดังกล่าวเกิดมีการติดเชื้ออีสุกอีใสก็จะทำให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้น ดังนั้น ผู้ป่วยโรคอื่นในระยะนี้จำเป็นต้องรอให้ร่างกายมีสภาพภูมิคุ้มกันที่ปกติเสียก่อน ซึ่งจะดูได้จากจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด lymphocyte ที่จะต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1,200 ใน 1 ลบ.มม. พร้อมกับพิจารณาอาการของร่างกายที่ไม่มีอาการที่แสดงถึงภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ
ผู้ป่วยบางรายที่อยู่ระหว่างการปลูกถ่ายอวัยวะหรืออยู่ในช่วงการพักฟื้นมักจะมีภูมิคุ้มกันลดลง ดังนั้น ผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนจำเป็นต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนทั้งสองเข็มก่อนที่จะเข้ารับการปลูกถ่ายอวัยวะตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ ขึ้นไป หรือ จะต้องพักฟื้นให้ร่างกายมีภาวะภูมิคุ้มกันปกติเสียก่อน

ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยอีสุกอีใส
ผู้ที่ต้องคลุกคลี และอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคอีสุกอีใส หากไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสหรือไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนจำเป็นต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนเสียก่อน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการติดเชื้ออีสุกอีใสจากผู้ป่วย

3. ผู้ที่เข้ารับ immunoglubulin หรือเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายเลือด จะต้องเลื่อนการเข้ารับการฉีดวัคซีนออกไปอย่างน้อย 5 เดือน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนไม่ได้ผล เนื่องจาก อาจได้รับ antibodies ที่มีต่อเชื้อไวรัส varicella zoster มาด้วย ดังนั้น ในระยะหลังการได้รับ immunoglubulin หรือเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายเลือด ควรจะเข้ารับการฉีดวัคซีนหลังจากนั้นอย่างน้อย 5 เดือน และ หากได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ควรไม่เข้ารับ immunoglubulin หรือเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายเลือดตลอดระยะ 2 เดือน หลังการได้รับวัคซีน

4. การฉีดวัคซีนอีสุกอีใสหรือวัคซีนงูสวัด สามารถฉีดร่วมกับวัคซีนอื่นๆได้ เช่น วัคซีนหัดเยอรมัน และวัคซีนคางทูม เป็นต้น

อาการข้างเคียงหลังได้รับวัคซีน
อาการข้างเคียงที่มักเกิดขึ้นหลังการเข้ารับการฉีดวัคซีน ได้แก่ เกิดอาการเป็นไข้ มีอาการปวด และบวมแดงบริเวณที่ฉีด หรือบางรายอาจเกิดผื่นเป็นตุ่มใสคล้ายอีสุกอีใสขึ้น แต่อาการนี้จะไม่รุนแรง และจะหายเองภายในไม่กี่วัน แต่โดยทั่วไป อาการข้างเคียงดังกล่าวจะไม่ค่อยพบในคนส่วนใหญ่

ข้อห้ามการใช้
1. ในผู้ที่เคยมีประวัติการแพ้ต่อสารประกอบในวัคซีน และสารเจลาติน
2. ผู้ที่มีประวัติการแพ้ยา neomycin เนื่องจากมีสารชนิดนี้หลงเหลือในวัคซีน
3. ผู้ที่อยู่ในระหว่างการเข้ารับการรักษาที่มีผลต่อการกดภูมิคุ้มกัน
4. ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น โรคเอดส์
5. ผู้ป่วยที่มีอาการเป็นไข้สูง
6. สตรีตั้งครรภ์หรืออยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
7. ผู้ป่วยวัณโรค
8. ผู้ป่วยหรือผู้ที่มีจำำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด lymphocyte ต่ำกว่า 1,200 ใน 1 ลบ.มม.

ข้อควรระวังในการให้วัคซีน
1. ก่อนที่จะฉีดวัคซีนจะต้องให้น้ำยฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอล์ระเหยออกจากผิวหนังให้หมดก่อน เพราะหากวัคซีนสัมผัสกับสารเหล่านี้ อาจทำให้เชื้อในวัคซีนตายได้
2. ควรเตรียมยารักษา หากเกิดกรณีการแพ้ และผู้เข้ารับการฉีดจะต้องอยู่กับแพทย์ภายหลังจากเข้ารับการฉีดแล้วอย่างน้อย 30 นาที ค่อยกลับบ้าน
3. ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์หลังเข้ารับการฉีดอย่างน้อย 3 เดือน

อายุของวัคซีน
วัคซีนโรคอีสุกอีใส และโรคงูสวัดจะมีอายุการเก็บรักษาประมาณ 24 เดือน หรือ 2 ปี โดยต้องเก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิในช่วง 2-8 °C และต้องเก็บในภาชนะที่ทึบแสง สามรถป้องกันแสงได้ ทั้งนี้ อายุของวัคซีนจะถูกระบุอยู่ข้างขวดหรือบนกล่องบรรจุเสมอ