คนพาล มาจากภาษาบาลีคำว่า พาโล หมายถึง คนเขลา คนอ่อนทางสติปัญญา รวมถึง คนที่มีจิตใจอันขุ่นมัว ไม่ประพฤติในศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งการคบคนพาลถือเป็นวิถีทางที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความเขลา ความเสื่อม และปิดทางแห่งความเจริญแก่ตน แต่หากไม่คบคนพาลย่อมเป็นวิถีแห่งบัณฑิตที่จะนำมาซึ่งสติปัญญา และความเจริญรุ่งเรืองในการดำเนินชีวิต
การไม่คบคนพาล หมายถึง การไม่ไปมาหาสู่ การไม่คบหาสมาคม การไม่เข้าตีสนิท หรือการไม่เป็นเพื่อนร่วมคิดร่วมทำกับผู้ที่ประกอบด้วยอกุศลหรือผู้ที่ประพฤติชั่วเป็นนิจ รวมถึงการไม่มีพฤติกรรมอย่างคนพาล
ความหมายที่ครอบคลุมของคนพาล
– คนเขลา
– คนอ่อนทางสติปัญญา
– คนที่ไม่เชื่อในเหตุ และผล
– คนโกรธง่าย คนหลงง่าย คนโลภง่าย
– คนที่มีจิตใจอันขุ่นมัว
– คนทำผิดศีลเป็นนิจ
– คนที่ไม่ประพฤติในศีลธรรมอันดีงาม
– คนที่คอยเบียดเบียน และห่มเหงคนอื่น
– ฯลฯ
ประเภทของคนพาล
1. คนพาลเทียม คือ คนพาลทั่วไปที่มักหลงผิดเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เพียงเพราะความเขลาหรือการหลงเชื่อผู้อื่นโดยง่าย คนพาลประเภทนี้ หากรู้จักคบบัณฑิตหรือได้รับความรู้ ได้รับการเสนอแนะ และชี้นำในทางที่ถูก ก็ย่อมกลับมาเป็นบัณฑิตหรือคนดีได้ง่าย
2. คนพาลแท้ คือ คนพาลหยั่งลึกด้วยความเขลาที่จัดเป็นบัวอยู่ในโคลนตม ถึงแม้จะรู้จักบัณฑิตหรือได้รับความรู้ ได้รับการอบรมเพียงใด ก็ไม่สามารถที่จะปรับความคิด ปรับการกระทำได้ เรียกได้ว่า เป็นคนพาลอย่างแท้จริง
ลักษณะของคนพาล 3 ประการ
1. คนที่มีกายทุจริต หมายถึง คนที่ประพฤติชั่วด้วยกายเป็นนิจ ได้แก่
– คนฆ่าสัตว์
– คนประพฤติผิดในกาม
– คนลักทรัพย์
– คนดื่มสุรา และเที่ยวเตร่สตรี
– คนที่เบียดเบียนห่มเหงผู้อื่น
– ฯลฯ
2. คนที่มีวาจาทุจริต หมายถึง คนที่ประพฤติชั่วด้วยวาจาเป็นนิจ ได้แก่
– คนพูดปด
– คนพูดคำหยาบ
– คนพูดส่อเสียด
– คนพูดยุยงให้แตกแยก
– คนพูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระ
– พูดสับปับ
– ฯลฯ
3. คนที่มีใจทุจริต หมายถึง คนที่มีจิตใจเป็นอกุศลเป็นนิจ ได้แก่
– คนที่มีใจคิดพยาบาท
– คนที่ชอบคิดในกาม
– คนที่ไม่เชื่อ และหลบหลู่ศาสนา
– คนที่มักมีอคติที่ไม่ดีต่อผู้อื่น
– ฯลฯ
คนพาลในสมัยพุทธกาล ได้แก่
– เทวทัต
– โกกาลิกะ
– กฎโมทกะ
– ติสสขัณฑาเทวีบุตร
– สมุทททัตตะ
– นางจิญจมาณวิกา
– ฯลฯ
วิธีสังเกตคนพาล
1. ฆ่าสัตว์ ทำร้ายสัตว์เพื่อความสนุก
ผู้ที่มีพฤติกรรมชอบฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์ให้ทรมานเพียงเพื่อความสนุก มักเป็นผู้ที่นิสัยใจนักเลง ชอบความรุนแรง ห่มเหงรังเกผู้อื่นเป็นนิจ และเมื่อได้เห็นผู้อื่นได้รับทุกข์แล้วก็มักไม่สะเทือนใจหรือเห็นใจในความทุกข์ที่ผู้อื่นได้รับ และหากไม่สมดั่งหวังก็มักมีจิตใจผูกพยาบาทเป็นนิจ คนเหล่านี้ อาจสังเกตได้จาก พฤติกรรมการเป็นนักเลงที่มักก่อการทะเลาะวิวาทบ่อยครั้ง ผู้ที่ชอบจับสัตว์มาทรมาน เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ฆ่าสัตว์หรือจับสัตว์เพียงเพื่อการยังชีพให้ถือละเว้นจากการเป็นคนพาล
2. มีจิตใจผูกพยาบาท
ผู้ที่มีจิตใจผูกพยาบาทนี้ จะพบได้ในคนที่เบียดเบียนผู้อื่นๆเพียงเพื่อให้ตนเป็นผู้กระทำบ้างหลังจากที่เคยถูกกระทำมาแล้ว หรือเรียกง่ายๆว่า การล้างแค้น หรือ การเอาคืน สิ่งเหล่านี้ มักเกิดทั้งในหมู่นักเลง การงาน และการค้าขายธุรกิจ เป็นต้น ทั้งนี้ คนเหล่านี้จะค่อนข้างสังเกตยากเพราะเป็นมโนธรรม จนกว่าจะแสดงพฤติกรรมการเอาคืนออกมา แต่อาจสังเกตได้จากคำพูดที่มักกล่าวพยาบาทว่าไว้หรือสายตาที่มองด้วยความไม่เป็นมิตร
3. หวังแต่ผลประโยชน์แก่ตน
ผู้ที่หวังประโยชน์แก่ตน มักกระทำผ่านทั้งทางกาย อาทิ การฉ้อโกง การลักทรัพย์ การหลอกลวง การให้สินบน และทางวาจา อาทิ การพูดหว่านล้อมให้เชื่อ การพูดยกยอเพื่อให้มอบรางวัลหรือของกำนันให้ นอกจากนั้น มักใช้วิธีการอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ที่ตนต้องการ อาทิ การใช้กำลังห่มเหง การปล้นจี้ เป็นต้น
4. เอาแต่ตัวรอด
ผู้ที่มีนิสัยเอาแต่ตัวรอด มักเป็นผู้ที่คอยปัดความผิดที่เกิดจากตนไปให้ผู้อื่นแทน ทั้งการพูดใส่ร้าย การให้หลักฐานเท็จ นอกจากนั้น ผู้ที่มีลักษณะแบบนี้ มักหวงแหนในข้าวของ ข้าวปลาอาหารเมื่อตนเองเกิดความทุกข์ยากหรืออดอยาก
5. หลอกลวง โกหก
ผู้ที่ชอบหลอกลวงหรือพูดโกหกเป็นนิจ เกิดขึ้นในหลายด้าน อาทิ การมุ่งหวังประโยชน์แก่ตน การมุ่งหวังพยาบาทให้ผู้อื่นได้รับทุกข์ การมุ่งหวังเพื่อความสนุกคะนองใจ เป็นต้น คนเหล่านี้ มักพูดจากระตุกกระตัก พูดเอ่ออ่า พูดวกไปวนมา สายตาไม่อยู่กับที่ แต่บางคนอาจข่มอาการเหล่านี้ได้ จนกว่าจะมีหลักฐานจับได้จึงจะรู้
6. หัวดื้อ ไม่ยอมฟังผู้อื่น
คนดื้อรั้ง มักเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเองสูง เพียงเพราะเชื่อว่าตนเป็นคนเก่ง เป็นผู้มีความรู้มากกว่าจึงไม่ยอมรับฟังผู้อื่นได้ง่าย หรือ เป็นคนเขลาที่ไม่รู้เท่าทันโลก ไม่รู้เท่าทันสังคม เพราะเชื่อว่าตนเองสามารถเอาตัวรอดได้ หรือ สำคัญผิดในความคิดของตน คนเหล่านี้ มักพูดแทรกในขณะที่คนอื่นพูดหรือไม่ยอมฟังความคิดของบุคคลอื่นให้จบ
7. โกรธง่าย
คนโกรธง่ายมักนำมาซึ่งการทะเลาะวิวาทหรือทำให้ผู้อื่นเจ็บซ้ำใจหรือไม่สบายใจ คนเหล่านี้ เมื่อได้รับการกระทำต่อที่ทำให้ร่างกายหรือจิตใจเจ็บช้ำ ก็ย่อมตอบสนองด้วยความโกรธได้ง่าย ทั้งในลักษณะของการใช้กำลังโต้ตอบ การใช้วาจาโต้ตอบ แต่หากไม่ตู้ตอบขณะนั้น ก็มักผูกจิตพยาบาทหวังจะเอาคืนในภายหน้า
8. ดื่มสุรา และเที่ยวเตร่เป็นนิจ
ดื่มสุรา และเที่ยวเตร่เป็นนิจ คนเหล่านี้ สังเกตไม่ยาก เพราะมักไม่อยู่บ้านช่องในยามราตรี กลับมาทีไรมักมึนเมามาตลอด และมักพักนอนในยามกลางวัน หากวันใดไม่ได้ออกจากบ้านมักอยู่ไม่เป็นสุข
9. เป็นคนขี้เกียจ
คนขี้เกียจมักกล่าวอ้างว่าติดธุระอย่างโน้นอย่างนี้ ว่าอย่างนี้ทำแล้วไม่ถูก ไม่สำเร็จ ทั้งที่ยังไม่ได้ลองทำดู คนเหล่านี้ มักชื่นชอบความสุขสำราญเป็นนิจ เมื่อขี้เกียจก็มักหากิจในเรื่องบันเทิงใจทำเป็นนิจ
10. ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ
คนไม่ทำกิจที่เป็นประโยชน์แก่ตน และผู้อื่น มักเป็นคนขี้เกียจ และชอบสุขสำราญ มักกล่าวอ้างอย่างโน้นอย่างนี้ และมักทำในสิ่งรื่นเริงบันเทิงเป็นกิจ
โทษของการเป็นคนพาล และการคบคนพาล
1. จิตใจมีความทุกข์ รู้สึกอึดอัดใจ
2. ถูกมองในแง่ร้าย ไม่ได้รับความไว้วางใจ
3. เป็นผู้หลงผิด และถูกชักนำไปในทางที่ผิดได้ง่าย
4. ถูกนินทาว่าร้าย และถูกดูหมิ่นดูแคลน
5. เสื่อมเสียชื่อเสียง
6. การงานไม่ประสบผลสำเร็จ
7. ไม่มีใครคบ เข้ากับผู้อื่นได้ยาก
8. มักพบแต่ความเสื่อม ความหายนะ
9. เกิดภัยอันตรายแก่ตนเอง และบุคคลรอบข้าง
10. เมื่อตายไปแล้ว ย่อมจุติในนรกภูมิ
ประโยชน์การไม่คบคนพาล
1. ประโยชน์แก่ตน
ประโยชน์แก่ตน อันได้แก่ การยังให้ตนเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ คือ เป็นผู้มีความเห็นชอบ รู้จักคิดถูก รู้แจ้ง และเท่าทันโลก ไม่เป็นผู้ถูกหลอกได้ง่าย อันนำไปสู่การประพฤติตนในทางชอบธรรมภายใต้ศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งจะนำไปสู่ความเจริญ และความสุขในการดำเนินชีวิต
2. ประโยชน์แก่ผู้อื่น
ประโยชน์แก่ผู้อื่น หมายถึง ประโยชน์ที่เกิดแก่บุคคลรอบข้าง อาทิ ภรรยา และบุตร ปู่ย่า ตายาย และวงศาคณาญาติ มิตรสหาย และเพื่อนร่วมงาน รวมถึงบุคคลที่รู้จักหรือคบค้าสมาคม บุคคลเหล่านี้ ย่อมเป็นอยู่ห่างจากอบายมุข และภัยทั้งหลาย อันอาจจะเกิดจากตนที่จะนำพามาให้ ส่งผลต่อความสุข และความเจริญที่พร้อมจะยังให้เกิดขึ้น
3. ประโยชน์แก่สังคม
ประโยชน์แก่สังคม อันเกิดจากความผาสุก ความเจริญทั้งที่เกิดขึ้นกับตน และผู้อื่น อันถือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งจะช่วยนำพาสังคมที่ตนอาศัยอยู่ และสังคมรอบข้างให้เกิดความสุข ความเจริญร่วมด้วย