โรคไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคที่สามารถติดต่อ และแพร่กระจายได้ง่าย ทั้งทางเพศสัมพันธ์ และทางเลือด และน้ำลายหรือสารคัดหลั่ง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดจากมารดาสู่บุตร การสัมผัสกับเชื้อโดยตรง รวมถึงการกินอาหารร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันมีการผลิตวัคซีนขึ้นมาใช้เพื่อป้องกันการเกิดโรคนี้ขึ้นมา
วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เป็นวัคซีนที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ป้องกันการเกิดโรคจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี ซึ่งสามารถผลิตได้จากหลายวิธี อาทิ การผลิตจากพลาสมาของคน การตัดต่อพันธุกรรม และการสังเคาะห์ เป็นต้น
การผลิตวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
1. Plasma derived vaccine
เป็นวัคซีนวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีที่ผลิตจากพลาสมาของคนที่เป็นพาหะของเชื้อ ของหลายๆคนมารวมกัน แล้วแยกเอาเฉพาะแอนติเจนที่เป็นเชื้อไวรัส (HBsAg) ออกมา แล้วนำมาทำให้ฤทธิ์อ่อนด้วยการผ่านความร้อนหรือใช้สารเคมี จากนั้น เติม adjuvant เพื่อให้เกิดคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น แต่ก่อนนำไปใช้จะต้องผ่านการทำสอบประสิทธิภาพ และความปลอดภัยก่อน ซึ่งทำให้กว่าวัคซีนแต่ละชุดจะใช้ได้ก็ต้องใช้เวลาการผลิต และทดสอบอีกนานถึง 1 ปี
2. Tissue culture vaccine
เป็นวิธีผลิตวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีที่ใช้ cell line ของ hepatocellular-carcinoma แล้วนำมาผลิตเป็น HBsAg
3. Recombinant DNA vaccine
เป็นวัคซีนวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีที่ได้จากการตัดต่อพันธุกรรมของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยการตัดต่อเอาเฉพาะยีนที่ทำหน้าที่ในการสร้าง HBsAg เข้าใส่ใน vector เช่น เชื้อ E.coli, ยีสต์, vaccinia virus เป็นต้น หลังจากนั้น vector จะทำการสร้าง HBsAg ขึ้น แล้วจึงนำไปใช้เป็นวัคซีนต่อ
4. Synthetic vaccine
เป็นวัคซีนวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีชนิดที่ผลิตได้จากกการสังเคาะห์ทางเคมี โดยจะได้สารที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับ HBsAg ซึ่งวัคซีนชนิดนี้จะช่วยลดการปนเปื้อนของเชื้อโรคอื่นได้ดีกว่าวิธีต่างๆที่กล่าวมา
ชื่อทางการค้าของวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีในท้องตลาด
1. H-B VAX (MSD)
ที่มา : พลาสมา
การทำให้อ่อนฤทธิ์ : ULT Cent, ฟอร์มาลิน, ยูเรีย และเปปซิน
ขนาด : 20 ไมโครกรัม
จำนวนเข็ม และระยะฉีด : 3 เข็ม ในเดือนที่ 0,1 และ6
ประสิทธิภาพของวัคซีน : 85-95%
2. HEVAC-B Pasteur
ที่มา : พลาสมา
การทำให้อ่อนฤทธิ์ : ULT Cent และฟอร์มาลิน
ขนาด : 5 ไมโครกรัม
จำนวนเข็ม และระยะฉีด : 4 เข็ม ในเดือนที่ 0,1,2 และ12
ประสิทธิภาพของวัคซีน : 85-95%
3. ENGERIC-B
ที่มา : พลาสมา
การทำให้อ่อนฤทธิ์ : การตัดต่อพันธุกรรม
ขนาด : 20 ไมโครกรัม
จำนวนเข็ม และระยะฉีด : 3 เข็ม ในเดือนที่ 0,1 และ6
ประสิทธิภาพของวัคซีน : 85-95%
ขนาดการใช้
การให้วัคซีนวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีจะให้ด้วยวิธีการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จำนวน 3 เข็ม
– เข็มแรก เดือน 0 โดยฉีดเมื่อต้องการ
– เข็มที่ 2 หลังจากฉีดเข็มแรก 1 เดือน
– เข็มที่ 3 หลังจากฉีดเข็มแรก 6 เดือน
ขนาดที่ใช้ที่ 20 ไมโครกรัม/เข็ม สำหรับผู้ใหญ่ และเด็กที่มีอายุมากกว่า 10 ปี ที่ขนาด 10 ไมโครกรัม/เข็ม
การสร้างภูมิคุ้มกันหลังฉีด
การพิจารณาประสิทธิภาพของวัคซีนในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัส จะพิจารณาใน 2 ด้าน คือ
1. ร้อยละของผู้มีภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น
โดยทั่วไปหลังจากการให้วัคซีนจะสามารถตรวจพบภูมิคุ้มกันของไวรัสมากกว่าร้อยละ 90 จากจำนวนผู้เข้ารับวัคซีนทั้งหมด
2. ระดับภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น
สำหรับระดับของภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นจะมีความแตกต่างกันในแต่ละคน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน แต่ทั่วไป ปัจจัยที่มีผลต่อระดับภูมิคุ้มกันมากก็คือ ขนาดของวัคซีนที่ร่างกายได้รับ
ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน
1. ชนิด และขนาดของวัคซีน
2. ภาวะสุขภาพร่างกายของผู้เข้ารับวัคซีน
3. เชื้อชาติ โดยทั่วไปคนเอเชียจะมีการตอบสนองต่อประสิทธิภาพการสร้างภูมิคุ้มกันหลังการได้รับวัคซีนน้อยกว่าคนยุโรป
4. บริเวณที่ฉีดวัคซีน
5. อายุ และเพศ
อายุของภูมิคุ้มกัน
หลังการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีแล้ว ร่างกายจะสร้างแอนติบอดีที่เป็นภูมิคุ้มกันเฉพาะต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีขึ้น (HBsAb) โดยระดับ HBsAb ในร่างกายของบุคคลทั่วไปที่สามารถต้านการเกิดโรคได้ ต้องไม่น้อยกว่า 10 mlU/ml ขึ้นไป ส่วนระดับ HBsAb ของบุคลากรทางการแพทย์ควรจะมีไม่น้อยกว่า 100 mlU/ml ขึ้นไป
หลังจากร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระยะหนึ่งแล้ว ภูมิคุ้มกันจะเริ่มลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง 21-24 เดือน หลังการฉีดวัคซีน แต่ยังไม่ต่ำกว่า 10 mlU/ml