กระบังลม (Diaphragm) เป็นอวัยวะที่กั้นระหว่างอวัยวะภายในช่องอก และช่องท้องออกจากกัน ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นที่แบ่งออกเป็นด้านซ้าย และด้านขวา ทำหน้าที่หลักในการช่วยหายใจ
ลักษณะของกระบังลม
กระบังลมจะประกอบด้วยมัดกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น โดยมีมัดกล้ามเนื้อล้อมรอบเส้นเอ็นซึ่งอยู่บริเวณตรงกลาง ส่วนมัดกล้ามเนื้อแบ่งออกเป็น 3 มัด คือ กล้ามเนื้อ pars costal กล้ามเนื้อ pars sternal และ กล้ามเนื้อ pars lumbar แบ่งเป็นด้านซ้าย และด้านขวา โดยกล้ามเนื้อด้านขวาจะมีขนาดใหญ่กว่าด้านซ้ายเล็กน้อย ส่วนเส้นเอ็นจะมีรูปร่างเป็นตัววาย โดยเส้นเอ็นแต่ละแขนงจะยึดกับซี่โครง (ซี่ที่ 13) เอาไว้ โดยกล้ามเนื้อ pars costal และ กล้ามเนื้อ pars sternal จะอยู่ด้านนอกศูนย์กลางลำตัว ในแนวกระดูกอ่อนบริเวณลิ้นปี่ (xiphoid cartilage) ส่วนกล้ามเนื้อ pars lumbar จะยึดติดกับตำแหน่งศูนย์กลางลำตัว ในแนวกระดูกสันหลัง บริเวณเอวที่ 3 และ 4 มีเส้นประสาท splanchnic และเส้นประสาท sympathetic trunk ผ่านไปช่องท้องระหว่างส่วนด้านข้าง และซี่โครงซี่ที่ 13 ของทั้ง 2 ด้าน กระบังลมมีช่องเปิดที่เป็นทางผ่านของอวัยวะต่างๆ อยู่ 3 ช่อง คือ caval foramen ซึ่งเป็นทางผ่านของหลอดเลือด caudal vena cava ส่วน esophageal hiatus เป็นทางผ่านของหลอดอาหาร
หลอดเลือดที่มาเลี้ยงหลอดอาหาร และ เส้นประสาทคู่ที่ 10 (vagus nerve) และ aortic hiatus อยู่ในตำแหน่งด้านบนของตัวกระดูก lumbar และส่วนด้านล่างที่ขยายจากเอ็นแนวกลางของกระบังลมด้านซ้าย และขวา โดยหลอดเลือดใหญ่เอออร์ต้า หลอดเลือด azygous และ cistern of thoracic duct จะผ่านไปช่องท้องทาง aortic hiatus ด้านนูนของกระบังลมจะติดกับปอด
เยื่อหุ้มปอดส่วนประจันอก (mediastinal) จะยึดติดกระบังลมในแนวกลางของด้านบนของหลอดอาหารเท่านั้น หลอดเลือด plica vena cava อยู่ด้านหลังของหัวใจบริเวณ caudal vene cava จะติดกับกระบังลมทางด้านขวา ส่วนด้านเว้าของกระบังลมจะติดกับชั้นของเยื่อบุช่องท้อง major lymphatic drainage จากช่องท้องจะผ่านทางกระบังลม
หลอดเลือดหลักที่มาเลี้ยงกระบังลม คือ หลอดเลือด phrenic โดยจุดกำเนิดมาจากคู่ของหลอดเลือด Phrenicoabdominal ระบบประสาทมอเตอร์ของกระบังลมมาจากเส้นประสาท phrenic ในแนวเส้นประสาท phrenic จะมาจากเส้นประสาทส่วนคอคู่ที่ 4, 5 และ 6 กล้ามเนื้อ costal จะมีแขนงเส้นประสาทมาจากเส้นประสาทส่วนคอคู่ที่ 4 และหลักๆมาจากเส้นประสาทส่วนคอคู่ที่ 5 ส่วน กล้ามเนื้อส่วน crural จะมีเส้นประสาทส่วนคอคู่ที่ 6 มาเลี้ยงเป็นหลัก และแขนงจะเป็นเส้นประสาทส่วนคอคู่ที่ 5
หน้าที่ และการทำงานของกระบังลม
กระบังลมทำหน้าที่ช่วยในการหายใจ ประกอบด้วย 2 ระยะ ได้แก่
1. การหายใจเข้า
ในขณะหายใจเข้าที่มีลำเข้าภายในปอด ทำให้ปอดขยายตัว จนดันซี่โครงให้ขยายตัวออก ซึ่งเป็นผลมาจากการหดตัว และยกตัวลงต่ำของกระบังลม คล้ายกับการยกลงของลูกสูบ ทำให้เกิดการดูดอากาศเข้าภายในปอด (หายใจเข้า) และช่วยรองรับการขยายตัวของปอด แต่จะลดต่ำลงในระดับที่พอเหมาะ ป้องกันไม่ให้อากาศเข้าในปอดมากจนเกินไป และป้องกันไม่ให้กระดูกซี่โครงขยายตัวมากจนเกินไปด้วย
2. การหายใจออก
ในขณะหายใจออก กระบังลมจะเกิดการขยายตัว จนยกตัวสูงขึ้น แล้วดันปอดให้ยุบตัว เพื่อไล่ลมออกจากปอด และในขณะปอดยุบตัว กระดูกซี่โครงก็จะยุบตัวลงเช่นกัน
ดังนั้น กระบังลมจึงมีหน้าที่สำคัญในการหายใจเข้า และหายใจออกของร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับลูกสูบสำหรับการดูดอากาศ และดันไล่อากาศออกจากปอด (กระบอกสูบ) นอกจากนั้น ยังมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนที่ของ lymphatic fluid อีกด้วย
โรคเด่นที่เกี่ยวข้องกับกระบังลม
1. โรคกระบังลมหย่อน
โรคกระบังลมหย่อน เป็นโรคที่เกิดมากในสตรีที่สูงอายุหรือสตรีที่ผ่านการคลอดลูกมาหลายครั้ง ซึ่งเป็นผลมาจากการเสื่อมสภาพของกระบังลมที่ขาดการยืดหดตัวที่ดี ทำให้หย่อนลงมาด้านล่างมาก และกดอวัยวะอื่นที่อยู่ด้านล่างให้ต่ำลง อาทิ ช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะ
อาการที่เด่นชัด ได้แก่ มีอาการปวด และหน่วงรั้งบริเวณช่องคลอด มีก้อนเนื้อโผล่มาในช่องคลอด และอาจเกิดแผลบริเวณปากช่องคลอด จนสังเกตมีเลือดไหลออกมา รวมถึงมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ เป็นต้น
การรักษา สำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถทำได้ด้วยการบริหารกระบังลม อาทิ การขมิบก้นเป็นครั้งๆ โดยเฉพาะเวลาถ่ายปัสสาวะ ส่วนผู้ทีมีอาการรุนแรง อาทิ มีมดลูกโผล่ในช่องคลอด แพทย์จะทำการผ่าตัดมดลูกส่วนนั้นออก เป็นต้น
2. โรคไส้เลื่อนกระบังลม
โรคไส้เลื่อนกระบังลม คือ ภาวะที่อวัยวะภายในช่องท้อง คือ ลำไส้เล็ก เคลื่อนเข้ามาในช่องอกได้จนเกิดโรคไส้เลื่อนตามมา โดยการฉีกขาดของกระบังลมมักจากอุบัติเหตุอย่างรุนแรงทำให้กระบังลมฉีกขาดหรือการถูกทำร้ายด้วยการถูกลูกกระสุนหรือถูกแทง เป็นต้น เป็นภาวะที่พบได้ทั้งในมนุษย์ และสัตว์